เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๓o พ.ย. ๒๕๔๖

 

เทศน์เช้า วันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๔๖
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ชีวิตมนุษย์ไม่ได้มาเปล่า ๆ นะ สัตว์มีชีวิต สิ่งที่มีชีวิตต้องไปตามกรรม สิ่งที่ไปตามกรรม สัตว์บางตัวเกิดมาจากนรก เพราะใช้กรรมในนรกแล้วหมดจากกรรมนี่ แล้วใช้กรรมเบาขึ้นมา ๆ จนมาเกิดเป็นมนุษย์ สัตว์บางตัวเกิดมาจากสวรรค์นะ นี่เวลาหมดกรรมจากสวรรค์ ทำบุญกุศลได้บุญกุศลขึ้นมา เสวยภพชาติเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม แต่มันก็มีวาระ หมดเวรหมดกรรมก็มาเกิดเป็นมนุษย์หรือมาเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เกิดต่าง ๆ กันไป

มนุษย์สร้างบุญกุศลขึ้นมา เรามีบุญกุศล มีเหตุไง มนุษย์สมบัติต้องมีศีล ๕ บริสุทธิ์ เห็นไหม ไม่ฆ่าสัตว์ไม่ตัดชีวิต ไม่ลักของเขา อยู่ในศีลในธรรมนี่เราจะเกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นมนุษย์นี้สัตว์ทุกอย่างมาเกิดได้ เวียนตายเวียนเกิดตามสภาวะแบบนั้น ถึงบอกว่าชีวิตที่ได้มานี้ได้มาจากคุณงามความดีของเรา ถึงว่าถ้าพูดถึงเกิดมาจากนรกก็เกิดมาจากสิ่งที่ว่าไปใช้เวรใช้กรรมจนสิ้นมาแล้ว

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตอนก่อนจะเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกมาวัฏฏะนี่เป็นเครื่องดำเนิน จิตนี้เคยไปมาทั้งหมด มันถึงต้องเราเกิดมานี่ เราพบพุทธศาสนา เพราะว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีดวงตาเห็นธรรม เห็นสภาวะตามความเป็นจริงอยู่ เราสร้างบุญกุศล ถ้าเราตายไป บุญกุศลพอนี่เราเกิดบนสวรรค์ ถ้าคนบาปอกุศลเวลาตายไปนี่มันตกนรก เห็นไหม

แล้วถ้าเราทำบุญกุศลของเรา เราปิดของเรานี่ เราไม่ตกนรก แล้วนรกมันหายไปไหน สวรรค์หายไปไหนล่ะ? เขาก็อยู่สภาวะของเขาแบบนั้น ในทวีปต่าง ๆ ในโลกต่าง ๆ ในจักรวาลต่าง ๆ เขาก็อยู่สภาวะของเขาแบบนั้น สิ่งที่เป็นวัฏฏะอย่างนี้มันมีอยู่โดยธรรมชาติของเขาเป็นสภาวะแบบนี้อยู่แล้ว เพียงแต่ใจของเราไปเกิดไปตายโดยที่เราไม่เห็นไง เราตามืดบอด เราไม่เห็น เราถึงปฏิเสธสิ่งนั้นไม่มี

เราจะปฏิเสธสิ่งนั้นมีหรือไม่มี อันนั้นเป็นคำปฏิเสธของเรา แต่ความจริงของเขาเป็นความจริงของเขาอยู่สภาวะแบบนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นสภาวธรรมแบบนี้ด้วยบุพเพนิวาสานุสติญาณ จิตมันย้อนไปอดีตชาติ การเกิดการตายสภาวะแบบนี้ซ้ำซ้อนมาตลอด สิ่งนี้มีอยู่ไง คนมืดบอด คนถ้าไม่มีดวงตาเห็นธรรม เพียงแต่ว่าทำความสงบของใจเข้าไปนี่มันก็ระลึกอดีตชาติได้

ความระลึกอดีตชาติได้นี่ไม่ใช่ว่าจิตนี้ถือว่าพ้นจากกิเลสไปหรอก สิ่งนี้มันมีอยู่โดยดั้งเดิม ในลัทธิศาสนาต่าง ๆ เขาถึงไม่ปฏิเสธสิ่งนี้ เขาว่าของเขามีเหมือนกัน เราก็มีเหมือนกัน แต่เราคนมืดบอด เราจะปฏิเสธสิ่งนี้ เราไม่เข้าใจสิ่งนี้เราถึงปฏิเสธ สิ่งนี้ปฏิเสธ เห็นไหม เราสร้างบุญสร้างกุศลขนาดไหนเราก็เวียนตายเวียนเกิดตามสภาวะแบบนั้น

ในศาสนาพุทธเรามหัศจรรย์กว่านั้นไง ศาสนาพุทธของเรานี่ให้ทำบุญกุศล เห็นไหม เวลาเราทำบุญกุศลขึ้นมานี่ แล้วเราเชื่อมั่นของเราขึ้นมา เราสร้างหลักใจของเราขึ้นมา เราทำหลักใจของเรายืนหลักใจของเราขึ้นมาได้ ทำสัมมาสมาธิแบบลัทธิศาสนาต่าง ๆ เขาสอนกันอย่างนั้น

ลัทธิศาสนาต่าง ๆ เขาสอนกันได้แค่นี้ แล้วพอจิตมันสงบเข้าไปนี่ ถ้ามันระลึกเข้าไปถึงก้นบึ้งของใจนี่มันจะทำอย่างนั้นได้ ดูอย่างพระอรหันต์ที่ในสมัยพุทธกาลสิ บางองค์ระลึกชาติได้ชาติหนึ่ง ๒ ชาติ ๓ ชาติ แล้วแต่อำนาจวาสนาของแต่ละบุคคล กำลังของใจที่มันจะย้อนเข้าไปได้ขนาดไหนไง กำลังของใจ กำลังของหลักของใจ ใจตัวนี้มันมีกำลังขนาดไหน มีอำนาจวาสนาขนาดไหน มันจะเข้าได้ลึกได้ตื้นขนาดไหน ต่างกัน เห็นไหม

ในลัทธิศาสนาต่าง ๆ เขาก็มีตรงนี้เหมือนกัน เขาเห็นได้มากเห็นได้น้อยนี้แล้วแต่อำนาจวาสนาของเขา ความเห็นอันนั้นเห็นแล้วหัวใจฟู หัวใจมีความยึดมั่นถือมั่น อันนั้นมันก็ไม่เป็นประโยชน์ กลับเป็นโทษด้วยว่าเรามีความรู้เหนือเขา เรามีความยึดมั่นถือมั่นเหนือคนอื่น สิ่งนั้นไม่เป็นประโยชน์เลย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมนี่ย้อนกลับไปดู จุตูปปาตญาณ การเกิด สัตว์ไปเกิดที่ไหน มันก็ไม่สามารถแก้ได้ สิ่งนี้เป็นความจริงของเขา สิ่งนี้เป็นธรรมชาติอันหนึ่งไง สภาวธรรมสภาวะแบบนี้มันมีอยู่โดยดั้งเดิม

แต่ถ้าเราเชื่อธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเราพยายามทำใจของเราให้สงบ แล้วเราพยายามยกขึ้นวิปัสสนาใช้ในปัญญาญาณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง ภาวนามยปัญญาอันนี้ถ้ามันชำระกิเลสออกไป เราชำระกิเลสขาดออกไปนี่เป็นพระโสดาบัน ปิดอบายภูมิ จะไม่ไปเกิดในอบายภูมิตั้งแต่สัตว์เดรัจฉานลงไปนี่เป็นไปไม่ได้เลย

แล้วสิ่งนั้นหายไปไหนล่ะ? สิ่งนั้นไม่ได้หายไปไหน สิ่งนั้นก็อยู่ในสภาวะของเขาแบบนั้น ปัจจุบันเรานั่งอยู่ที่นี่ อำเภอจังหวัดต่าง ๆ ในประเทศไทยมันหายไปไหนล่ะ? มันก็อยู่ของมันสภาวะแบบนั้นแหละ ถ้าเราปิดนรก เราปิดอบายภูมิของเรานี่ เราปิดใจของเราไม่ให้ไปต่างหากล่ะ

เราลบล้างใจของเรา ลบล้างเหตุของเรา เหตุที่มันต้องเวียนไปตามอำนาจของเหตุอันนั้น ความยึดมั่นถือมั่น ความเห็นผิด มันอยู่ที่เราคนเดียว เราเห็นผิดของเราคนเดียว ถ้าเราเห็นผิดของเรา เราก็หมุนกลิ้งไป จิตนี้มันก็กลิ้งไปตามความยึดมั่นถือมั่นของเรา มันปรารถนาด้วยอำนาจของตัณหาความทะยานอยาก เรื่องของกิเลสนี้มันเรื่องของการอยากจะพ้นภัย ความคิดของกิเลสว่ามันนี่อยากจะพ้นภัย อยากจะมีบุญกุศล อยากทำคุณงามความดี แล้วมันก็ยึดไปหมดเลย เห็นไหม

นี่ถนนหนทางเป็นทางผ่าน รถเรือนี่ส่งสัตว์โลกขึ้นบกขึ้นฝั่ง นี้ก็เหมือนกัน ทางอันนี้วิธีการอย่างหนึ่ง ผลลัพธ์อย่างหนึ่ง วิธีการนี่เราต้องสร้างสมขึ้นมา ผลลัพธ์เรายังไม่ต้องไปหวังผลมัน นี่เราไปหวังผลลัพธ์แต่เราไม่ห่วงใยวิธีการเลย เราไม่ห่วงใยถนนหนทาง เราไม่มีวิธีการของเราเข้าไป มันจะเข้าไปถึงได้อย่างไร ถ้ามันยกขึ้นวิปัสสนานี่มันจะวิปัสสนาตรงนี้ไง วิธีการทำให้ใจมันปล่อยวางจากการยึดมั่นถือมั่นของเรา ยึดมั่นตัวตนไง สร้างสมบัติสร้างสิ่งต่าง ๆ เข้ามา ต้องเป็นของเรา เราแสวงหาของเราขึ้นมาเป็นของเรา

เวลาเรารักษาศีล เราทำคุณงามความดีนี่เป็นของเรา เห็นไหม สิ่งนี้เป็นของเรา พอเรายึดขึ้นมานี่มันเป็นพลังขับเคลื่อนชั่วคราวไง เพราะสรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจังทั้งหมด สภาวะโลกนี้ไม่มีสิ่งใดคงที่ สิ่งที่เป็นคงที่คงทนถาวรไม่มีเลย มันแปรสภาพของมันแต่มันสืบต่อ เห็นไหม นี่จริงตามสมมุติ สมมุติอย่างนี้ไง สภาวะของโลกมันสมมุติทั้งหมดเลย

ถ้าเรายึดนะ เรายึด เราต้องการเหนี่ยวรั้งสิ่งใดไว้เป็นของเรา นี่เราไม่รู้ตามความเป็นจริง แล้วเราจะทุกข์ยาก เรายึดแล้วเรายึดมั่นของเรา สิ่งนี้มันก็แปรสภาพ สภาวะความจริงของมัน เห็นไหม วันเวลามันเปลี่ยนไปตลอดเวลา เราจะยึด เห็นไหม เกิดแล้วไม่อยากตาย อยากมีบุญกุศล ไม่อยากให้มันแปรสภาพไป เวลาทุกข์นี่ขับไสเปลี่ยนแปลงสภาวะแบบนั้น มันเป็นไปไม่ได้ นี้คือวิธีการทั้งนั้นเลย

ถ้าเราเห็นวิธีการ เห็นไหม จะเห็นวิธีการได้เราต้องทำความสงบของใจ นี่คลื่นลูกใหม่จะซัดคลื่นลูกเก่าไปตลอดเวลา ถ้าไม่มีน้ำไม่มีฝั่งเอาอะไรไปซัดล่ะ ถ้าเราจะมีหัวใจของเรา เห็นไหม คลื่นลูกใหม่ ความคิดใหม่ ความเห็นใหม่จากหัวใจของเรา นี่หัวใจของเราเปรียบเหมือนน้ำ มันซัดสิ่งสกปรกโสมม ซัดสิ่งที่ว่าเป็นความยึดมั่นถือมั่นของใจ ซัดเข้าฝั่งไปให้หมด นี้คลื่นลูกใหม่มันเกิดมาจากไหนล่ะ ถ้าไม่มีน้ำไม่มีลมมันก็ไม่มีคลื่นลูกใหม่ แล้วคลื่นลูกใหม่นี่เราถึงต้องพยายามทำใจของเรา เห็นไหม นี่ทำใจของเรา

เวลาเราเป็นชาวพุทธนี่ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา อุบาสกอุบาสิกานี่ศึกษาธรรมใคร่ครวญธรรม ถ้าเราอยากจะพ้นจากทุกข์ เราก็ต้องออกประพฤติปฏิบัติ เป็นภิกษุ ภิกษุณี ภิกษุ ภิกษุณีนี่เป็นนักรบ พยายามจะสร้างสรรค์วิธีการของเราขึ้นมา ถ้าเราสร้างสรรค์วิธีการของเราขึ้นมาโดยถูกต้องนะ ถ้าเราสร้างสรรค์วิธีการของเราไม่ถูกต้องเราก็ต้องเดินเวียนอยู่อย่างนั้น

อันนี้เป็นอำนาจวาสนา เป็นอินทรีย์ความสะสมบารมีมา ถ้าสะสมบารมีมานี่ ถ้าทำถึงก็ถึง ถ้าทำไม่ถึงเราเวียนไป มันถึงมีสัมมามีมิจฉาไง ในศาสนาเรามีสัมมามีมิจฉา ในวิทยาศาสตร์ไม่มีสัมมามีมิจฉา เพราะในวิทยาศาสตร์นี้พยายามคิดค้นกัน ทุกคนต้องเปิดกว้าง ทุกคนต้องโต้แย้งสิ่งทฤษฏีต่าง ๆ ได้ ทฤษฎีต่าง ๆ ต้องถามปัญหาสิ่งนั้นขึ้นมาให้มีการค้นคว้า ให้มีการชำแรกต่อไป

เพราะเขาค้นคว้าในสิ่งที่เป็นอนิจจัง สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง วิทยาศาสตร์ทฤษฎีต่าง ๆ มันจะมีสิ่งที่ว่าเหนือกว่ามาตลอดไป นี่มันมีความเจริญของโลกมันจะมีสิ่งนั้นไป สิ่งนั้นมันเป็นอนิจจัง มันถึงต้องมีการค้นคว้ามีการโต้แย้งไป ถึงมีมิจฉามีสัมมาก็ไม่สำคัญเพราะมิจฉานั้นถึงจะผิดพลาดไปมันก็ผิดพลาดไป เพียงแต่ว่าเราจะค้นคว้าให้มันถูกต้อง ให้มันยอมรับกันไง

สิ่งที่ยอมรับ เห็นไหม ทฤษฎีต่าง ๆ ถ้ามีทฤษฎีใหม่มาลบล้างทฤษฎีเก่าสิ่งนั้นก็แปรสภาพไป เป็นอนิจจังไหม? เป็นอยู่แล้ว นี่สมมุติทั้งนั้นเลย ถ้ามีสมมุติมันถึงไม่มีมิจฉามีสัมมาไง แต่ถ้าเป็นความจริงจะไม่มีใครสามารถสร้างบารมีมาแบบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ตรัสรู้แต่หนึ่งเดียวเท่านั้นไม่มีสองเลย หนึ่งเดียวตลอดไป

แต่การสร้างสมอันนี้มา เห็นไหม พุทธภูมินี่กำลังสะสมมา อันนี้มหาศาลมาก พยายามสะสมมานี่ เห็นไหม ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย แล้วยังแสนมหากัปอีกนะ พยายามสร้างสมสิ่งนี้มา เพราะอะไร? เพราะมันลึกลับมาก เรื่องของความคิดนี่ลึกลับมาก แล้วเราก็แพ้ความคิดของเราตลอดไป แล้วกิเลสมันก็อยู่เหนือความคิดนั้นอีกต่างหาก มันควบคุมความคิดของเรา แล้วมันพยายามทำให้เราวิ่งออกมาข้างนอก พยายามยึดมั่นถือมั่นสิ่งต่าง ๆ เข้าไป

นี่ในสภาวธรรม ในนักรบถึงจับตรงนี้ไง จับตรงหัวใจของเราไว้ได้ ถ้าจับตรงหัวใจของเราไว้ได้นี่คือความสงบของใจ ถ้าใจมันสงบมันสงบจากความนึกคิด ความนึกคิด ความคิดของเรานี่ แล้วกิเลสมันก็ใช้สิ่งนี้ออกไป แล้วเราก็หมุนออกไปตามสภาวะแบบนี้ตลอดไปเลย เราถึงว่าถ้าเราทำอย่างนี้มันทำถูกต้อง มันถึงเป็นสัมมาไง ถ้ามันทำไม่ถูกต้องมันเป็นมิจฉา เห็นไหม แม้แต่ความหยุดของจิตเป็นมิจฉาก็ได้

สิ่งที่เป็นมิจฉาเพราะมันไม่ยกขึ้นวิปัสสนา นี่ถ้าเป็นสัมมามันจะเข้ามรรคไง มรรค ๘ เห็นไหม สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป สัมมากัมมันโต สัมมาสติ สัมมาสมาธิ เห็นไหม ทำไมต้องมีสัมมาสมาธิล่ะ? สมาธิมันเป็นสมาธิแล้วมันต้องถูกต้องทั้งหมดสิ ทำไมมันมีมิจฉามีสัมมาล่ะ? มันมีมิจฉามีสัมมาเพราะการหันหัวหอกไง เราจะยิงศัตรูกระบอกปืนเราต้องยิงที่ไหน? ธรรมชาติของสรรพสิ่งต่าง ๆ กระบอกปืนต้องหันออกทั้งหมด เราต้องยิงศัตรู ศัตรูคือไม่ใช่เรา ศัตรูคือข้างนอกทั้งหมดเลย

แต่ในสัจธรรมศัตรูคือตัวเราเอง เราเห็นผิดเอง ความเห็นของเรานี่ครอบงำเราแล้ว เราก็ทำให้เราทุกข์ยากอยู่อย่างนี้ไง ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงว่าย้อนกลับมาทวนกระแสโลก กระแสโลกฆ่าคนอื่นให้หมด ทำลายศัตรูให้หมดแล้วเราจะเป็นผู้ชนะ เราจะเป็นผู้มีชัย เราจะปกครองสิ่งต่าง ๆ เป็นสมบัติของเรา แล้วก็ต้องเวียนตายเวียนเกิดอยู่ใต้อำนาจของมัจจุราชตลอดไป

แต่ถ้าเราย้อนกลับขึ้นมา เห็นไหม ทวนกระแสโลกเข้ามาในหัวใจของเรานี่ ถ้าเราทำศัตรูคือความเห็นผิดของเรา ความเห็นผิดมันก็ทำให้ปล่อยวาง ความเห็นผิดต่าง ๆ มันจะปล่อยวางเข้ามา เพราะเราเห็นผิด พอเห็นผิดทุกคนเห็นโทษของมัน ถ้าเราไม่เห็นโทษของความคิดเราจะปล่อยความคิดเราได้ไหม เราเห็นว่าความคิดเราถูกต้องเราต้องยึดความคิดของเราไป

เราเห็นว่าความคิดเราผิด เราปล่อยความคิดของเรานี่ ความปล่อยอันนั้นเป็นสัมมาสมาธิเข้ามา เห็นไหม สัมมาสมาธิเพราะมีศีลมีสมาธิ มีศีลมันถึงเป็นสัมมา พอสัมมาขึ้นมานี่แล้วเราพยายามยกขึ้นไง ยกขึ้นอันที่เป็นตัวพลังงานน่ะ พลังงานตัวนี้คือตัวคลื่นและตัวน้ำ ตัวน้ำกับตัวลมที่มันพัดกันให้เป็นคลื่นขึ้นมานี่ ถ้าไม่มีลมมันพัดขึ้นมาคลื่นไม่มี น้ำสงบนิ่ง มีน้ำ หาน้ำจนเจอ พยายามค้นคว้าหาน้ำเราได้ สร้างสมน้ำขึ้นมา มีขอบมีเขตของใจ เพราะมีสติควบคุมมันไว้

แต่ลมพัดไม่มีกระแสลม ไม่มีวิธีการ สิ่งที่ไม่มีวิธีการนี่คลื่นอันนั้นมันจะสามารถพัดซากศพ พัดสิ่งสกปรกโสมมของน้ำนั้นเข้าฝั่งได้อย่างไร ถ้ามันไม่มีสภาวะของคลื่นขึ้นมา นี่สมาธิมันถึงเคลื่อนไง ความสมาธิว่าสมาธิคือการปล่อยวาง คือการนิ่งอยู่ นิ่งอยู่แต่มันมีพลังงานของมัน มันถึงเป็นสัมมาไง ถ้ามันนิ่งอยู่มันตกภวังค์ไปนี่อันนั้นเป็นสมาธิหัวตอไง

ถ้าสมาธิหัวตอมันเฉยอยู่ บางทีตกภวังค์จนขาดสติไปนะ ไม่มีสติ ไม่มีสิ่งใดเลย ว่างหมด ถ้าว่าว่างนะ แล้วว่าตัวเองเป็นอย่างนั้น แล้วนั่นน่ะติด พรหมลูกฟักไง ติดอยู่อย่างนั้น สภาวะแบบนั้นไป มันถึงเป็นมิจฉาเป็นสัมมา มิจฉาสัมมาคือว่าสัมมาต้องย้อนกลับเข้ามา ถ้าความเห็นของเราเห็นของกิเลสมันเป็นมิจฉา แล้วจะออกไป ถึงมีมิจฉามีสัมมาในมรรคอริยสัจจัง ในวิธีการที่ย้อนกลับเข้ามาดูหัวใจ

ถึงต้องมีธรรมและวินัยเป็นศาสดาของเราไง จะไม่มีใครมีอำนาจเหนือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาทำบุญกุศล เห็นไหม ทำบุญกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ได้บุญมากที่สุด รองลงมาพระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ แล้วก็พระอนาคามี ลงมาตาม ๆ กันมา แล้วมีใครจะสามารถชำแรกขึ้นมาในกึ่งกลางของศาสนานี้ได้...มันเป็นไปไม่ได้ ถ้ามันเป็นไปไม่ได้นี่เพราะอำนาจวาสนามันเป็นไปไม่ได้ ตามหลักธรรมไง

แต่ตามหลักวิทยาศาสตร์ เห็นไหม ครูต้องเก่งกว่าลูกศิษย์ตลอดไป ทุกครูเห็นไหม นักวิชาการ ลูกศิษย์ลูกหานี่ต้องทำวิทยานิพนธ์ที่ดีกว่า ที่เหนือกว่า เพื่อให้วิชาการเจริญ นี่มันบีบบังคับจนมีการแก่งแย่งกัน มีการขโมยกัน มีการลักข้อความกัน มีการต่าง ๆ เพราะโลกต้องการหน้าเท่านั้น แต่ในการประพฤติปฏิบัติธรรมนี่มันเป็นการสัจธรรมของเรา ความลับไม่มีในโลก เราคิดเราก็รู้ เราทำเราก็รู้ สิ่งที่รู้ในหัวใจของเรา เราจะไปหลอกใครได้ล่ะ

สิ่งที่เราหลอก เราคิดของเราขึ้นมานี่ นั้นคือกิเลส ถ้าเราควบคุมสิ่งนี้ได้นี่ ย้อนกลับเข้ามา มันไม่มีความลับในโลกหรอก พระอรหันต์นี่ความบริสุทธิ์ผุดผ่องเสมอกันทั้งหมดเลย ในหัวใจต้องชำระล้างเหมือนกัน แล้วจะพูดได้เหมือนกัน จะสื่อได้เหมือนกัน ไม่มีความลับในโลกเหมือนกัน

ถ้ามันพูดถึงไม่ได้ ทำถึงไม่ได้ มันจะเป็นไปไม่ได้ เราถึงต้องย้อนกลับทวนกระแสทั้งหมด ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทวนกระแสทั้งหมด เราถึงพยายามสร้างสมวิธีการของเราขึ้นมา แล้วผลลัพธ์ไม่ต้องไปหวังนะ ผลลัพธ์มันจะเป็นธรรมชาติของมัน ปัจจัตตัง ถ้าเราหวังผลลัพธ์ วิธีการจะไขว้เขว เพราะอะไร? เพราะเราพยายามจะหาวิธีการที่ให้ถูกต้องไง

ถ้าวิธีการที่ถูกต้องขนาดไหน ความคิดเราเข้าไปบวกนะ มิจฉาทั้งหมดเลย เพราะความคิดตัวตนของเรา เรายึดตัวเรา เรายึดตัวตนของเรา แล้วเราเชื่อเราได้ไหม ทุกคนเวลาบอกทุกข์นี่ แล้วทำไมเราไม่ชนะทุกข์ล่ะ นี่เราเชื่อเราไม่ได้ เราถึงต้องเชื่อธรรม ถ้าธรรมยังไม่สามารถเกิดขึ้นมา เราถึงต้องสลายวิธีการอันนี้ วิธีการทำไป ฝึกฝนไป แล้วปล่อยวางไป มันจะบริสุทธิ์ขึ้นเรื่อย ๆ ไง

แต่เริ่มต้นนี่มันจะเศร้าหมองไปด้วยความคิดความเห็นของเรา แล้วเราหัดวิปัสสนาไป คลื่นลมมันต้องเป็นสภาวะธรรมชาติของมัน ถ้ามันสมดุลเมื่อไร สิ่งที่สมดุลคือความคิดความเห็นของเราสมดุลเมื่อไรนี่มรรคสามัคคี มันจะสมุจเฉทปหานกิเลสจะขาดออกไปจากใจ ปิดอบายภูมิ

สิ่งที่ปิดอบายภูมิ เห็นไหม นรกมันก็เป็นธรรมชาติของมันแต่ไม่มีความสื่อถึงเรา ใจนี้ไม่สื่อถึงเขา เขาไม่สื่อถึงเรา เขาก็อยู่ของเขา สภาวะโลกนี้อยู่แบบเก้อ ๆ เขิน ๆ ไง สภาวะโลกเขาเป็นของเรา เรารักษาใจเราได้ดวงเดียวเราชนะหมดทุกคนเลย เพราะไม่มีสามารถเข้ามาสะเทือนใจเราได้ เห็นไหม เราชนะใจของเรา เราถึงจะเป็นประโยชน์กับเรา

คลื่นลูกใหม่เราสร้างได้ เราก็จะเห็นคลื่นลูกใหม่จากหัวใจของเรา ถ้าเราสร้างไม่ได้นะ เราก็เห็นสภาวะไง เราไปยืนดูสภาวะอย่างนั้น เราเห็นของเขา เราไปเที่ยวชายทะเลเราจะเห็นคลื่นซัดตลอดไป ซัดนั้นมันเป็นสภาวธรรม ธรรมชาติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไว้ตามความเป็นจริง แต่ถ้ามันซัดในหัวใจของเรานี่ ปัจจัตตังเกิดขึ้นจากใจ อันนี้เป็นสมบัติส่วนตน นี่สมบัติส่วนตนถึงชำระทุกข์ได้ตามความเป็นจริง เอวัง